ชื่อวิทยาศาสตร์ | Bougainvillea |
---|---|
ลักษณะ | เป็นไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดตั้งแต่พุ่มเล็กถึงพุ่มใหญ่ มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่ ใบเดี่ยว แตกออก สลับกับกิ่ง หรือเยื้องกัน มีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กว้าง 2-3 ซม. ใบประดับลักษณ ะคล้ายรูปหัวใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู ส้ม ฟ้า เหลืองและอื่นๆ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบหรือปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม. |
การถูกค้นพบ | ครั้งแรกในประเทศบราซิลโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสราว ค.ศ. 1766-1769 และได้ถูกนำไปปลูกยังส่วนต่าง ๆ ของโลก เริ่มจากยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย สำหรับในประเทศไทย มีการนำพันธุ์เฟื่องฟ้าเข้ามาจากสิงคโปร์ครั้งแรกราว พศ. 2423 ใน สมัยรัชกาลที่ 5พันธุ์เฟื่องฟ้าในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าต่างประเทศ เนื่องจากเฟื่องฟ้าเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย และกลายพันธุ์เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้นมาก |
ราก และลำต้น | เฟื่องฟ้ามีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริการใต้ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย มีลำต้นกลม ยาว เนื้อไม้แข็ง และเหนียว เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อน เปลือกมีลักษณะบาง สีน้ำตาลแกมเทา ต้นที่มีอายุมากจะมีเปลือกสีดำ แตกกิ่งก้านมาก กิ่งมีขนาดเล็ก เรียวยาว และโน้มลงพื้น กิ่งมีสีเขียวเมื่ออ่อน และกิ่งแก่มีสีน้ำตาลอ่อน ทั่วกิ่งมีหนามแลมคมขนาดใหญ่ เกิดบริเวณเหนือก้านใบ สีลักษณะสีคล้ายสีกิ่ง ส่วนของราก เป็นระบบรากแก้ว แตกออกเป็นรากแขนง และรากฝอย รากมีลักษณะเล็ก เรียวยาวได้หลายเมตร ขนานกับพื้นดิน |
ใบ | ใบเฟื่องฟ้าจัดเป็นใบเดี่ยว แตกออกบริเวณข้อกิ่ง สลับ และเยื้องกันตามความยาวของกิ่งจนจรดปลายกิ่ง ใบมีสีเขียวเข้มหรือสีด่าง มีลักษณะรูปไข่ โคนใบมนใหญ่ และค่อนเรียวที่ปลายใบ กว้างประมาณ 2-5 ซม. ยาวประมาณ 3-8 ซม. มีก้านใบยาวประมาณ 3-5 ซม. มีขนสั้นๆปกคลุมใบ ก้านใบมีเส้นใยเป็นร่างแห |
ดอกเฟื่องฟ้า | ดอกเฟื่องฟ้าที่เรามองเห็น และเรียกว่า ดอก จะประกอบด้วยใบประดับหรือใบดอก และช่อดอก โดยใบดอกหรือใบประดับจะแตกออกที่ซอกกิ่งบริเวณปลายกิ่ง มีลักษณะเป็นรูปหัวใจหรือรูปไข่ 3 ใบ มีลักษณะเป็นแผ่นบางล้อมรอบช่อดอก ฐานใบจรดกันติดกับก้านช่อดอก มีหลายสีตามลักษณะของพันธุ์ เช่น สีแดง สีชมพู สีขาว สีเหลือง สีส้ม เป็นต้น |